โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูวัดคูเต่า

 

ศาลาเรียน วัดคูเต่า เป็นโครงการอนุรักษ์และปรับปรุงอาคารด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม เจ้าอาวาสและชุมชนต้องการอนุรักษ์โบราณสถานใน พื้นที่วัดคูเต่า เพื่อให้อาคารยังคงใช้ประโยชน์ได้ และให้ลูกหลานได้ศึกษาถึงอดีตของท้องถิ่นตนเอง ขณะเดียวกันสถาบันฯมีความสนใจให้นักศึกษาได้เรียนรู้ งานอนุรักษ์สถาปัตยกรรมอย่างมีส่วนร่วม   จึงได้ร่วมทำงานกับชุมชนโดยดำเนินการซ่อมแซมศาลาหลังแรกก่อน   เพราะศาลาหลังนี้มีคุณค่าทางด้านจิตใจ ต่อคนท้องถิ่น มีอายุกว่าร้อยปีแต่อยู่ในสภาพทรุดโทรม กว่า ๒ ปีที่  วัด  ชุมชนและสถาบันฯ ได้ร่วมกระบวนการฟื้นฟูวัดและชุมชน ส่งผลให้ศาลาได้รับการ บูรณะด้วยมือของคนในชุมชน ทั้งการหาทุนและการลงมือปรับปรุงซ่อมแซม

แรงบันดาลใจ

โครงการนี้เกิดขึ้นจากการที่สถาบันอาศรมศิลป์ได้ไปทัศนศึกษาเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิต  วัฒนธรรมภาคใต้ของประเทศไทย  ทำให้ได้พบกับศาลาเก่าริม คลองขุดที่หมอบตัวราบอยู่บนลานทรายใต้ต้นฉำฉาใหญ่ เป็นความงดงามบริสุทธิ์ที่ได้พบในวัดคูเต่า หลังจากที่ได้สอบถามความคิดเห็นพบว่าชุมชนต้องการ ดำเนินการอนุรักษ์ซ่อมแซมเพื่อให้ศาลาได้ใช้ประโยชน์และเพื่อให้ลูกหลานได้ดูได้ศึกษาถึงอดีตของ ท้องถิ่นตนเอง แต่เนื่องจากทางวัดขาดงบประมาณ และ ไม่มีความรู้ความชำนาญในการอนุรักษ์อย่างถูกต้องจึงยังไม่ดำเนินการใดๆ   ซึ่งทางสถาบันฯ  และแกนนำชุมชนเห็นว่าควรดำเนินการซ่อมแซมศาลาหลังนี้ เป็นอันดับแรกก่อน   เนื่องจากมีอายุกว่าร้อยปี  และอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก

ศาลาหลังนี้มีคุณค่าทางด้านจิตใจต่อคนท้องถิ่น   เพราะเป็นอาคารเรียน หลังแรกในท้องถิ่นและเป็นศูนย์รวมเพื่อรองรับงาน ประเพณีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและวิถีชีวิต

 

การดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย

การอนุรักษ์และปรับปรุงอาคารด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม สามารถแบ่งออกเป็น ๕ ระยะ ได้แก่

ระยะที่หนึ่ง

ทำความเข้าใจภาพรวมของชุมชน   และประเมินความเป็นไปได้ในการอนุรักษ์อย่างมีส่วนร่วม  เริ่มต้นจากทีมงานได้กระจายตัวอยู่ อาศัยกับชาวชุมชนเหมือนลูกหลาน  หลังจากนั้นจึงเริ่มสำรวจข้อมูล  และเปิดเวทีเสวนากับชาวชุมชน ทำให้ทราบว่าวัดนี้เคยรุ่งเรืองมากในอดีต แต่ปัจจุบัน ศรัทธาดังกล่าวกลับเสื่อมถอยลง  เกิดการย้ายถิ่นของคนวัยหนุ่มสาว  อันเนื่องมาจากผลของพัฒนา แบบทุนนิยม และปัญหาจากการบริหารงานในท้องถิ่น

 

ช่วงที่สอง

กระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วม และสำนึกความเป็นเจ้าของ   เมื่อพบกับปัญหาดังกล่าว  ทางสถาบันฯ  จึงได้จัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้ ชาวชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่นเกิดสำนึกรักษ์มากขึ้น    เพื่อไม่ให้ศาลาที่ต้องการบูรณะเป็นเพียงซากโบราณสถานที่ไม่มีการใช้งาน   และไม่ได้รับการดูแล รักษา กิจกรรมดังกล่าวประกอบด้วย แผนที่สิ่งดี  (People Mapping)  นิทรรศการภาพเก่าเล่าเรื่องที่จัดขึ้นใน ตลาดนัด กิจกรรมศิลปะเด็ก และรวมถึงการ ทำแผนที่สัมพันธ์เครือญาติ (Family Tree) เป็นต้น

 

ช่วงที่สาม

สื่อสารคุณค่าความงามทางสถาปัตยกรรม  ทีมงานได้จัดกิจกรรมค่าย  Kutao  Vernadoc  Camp  ร่วมกับสถาบันการศึกษาท้องถิ่น สองแห่งเพื่อปลูกจิตสำนึกในคุณค่าศิลปะ   สถาปัตยกรรม   นักศึกษาที่ร่วมกิจกรรมทุกคนประทับใจและเห็นคุณค่าของมรดกวัฒนธรรม  และบางคนแสดง ความต้องการที่จะเข้าร่วมโครงการอนุรักษ์ศาลาหลังนี้ด้วย

 

 ช่วงที่สี่

สรุปรูปแบบการบูรณะและการหางบประมาณเพื่อซ่อมแซม  ทีมงานได้ทำการศึกษาศาลาพื้นถิ่นภาคใต้   และนำเสนอทางเลือกในการ อนุรักษ์สี่รูปแบบเพื่อให้ชุมชนเลือกรูปแบบที่เหมาะสมที่สุด  ซึ่งผลการลงความเห็นได้มติเอกฉันท์ในรูปแบบที่เป็นการเสริมความแข็งแรง  (Consolidation) และยกศาลาให้สูงขึ้นเท่ากับระดับความสูงในอดีต หลังจากนั้นทางแกนนำวัดได้จัดงานทอดผ้าป่าขึ้น ชาวบ้านมีจิตศรัทธาเป็นอย่างมาก รวมได้งบประมาณ ถึงหกแสนกว่าบาท เกินกว่าที่ประเมินเอาไว้มาก การบูรณะศาลาจึงได้เริ่มต้นขึ้น

 

 ช่วงที่ห้า : การบูรณะซ่อมแซม

การบูรณะได้เริ่มต้นขึ้นด้วยการฟื้นฟูพิธีกรรมบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอขมาในการบูรณปฏิสังขรณ์ศาลา  โดยมีหลักการในการซ่อมแซมไว้ว่า “ จะไม่จัดจ้าง ผู้รับเหมามาดำเนินการซ่อมแซม   แต่จะให้ช่างท้องถิ่นเป็นทีมหลัก   ส่วนใดที่ทำเองไม่ได้ก็ให้เชิญผู้เชี่ยวมาดำเนินการเฉพาะส่วน ”  นอกจากนี้ทางวัดได้มี แผนงานประจำสัปดาห์ที่ให้ชาวบ้านได้เข้ามามีส่วนร่วมในการซ่อมแซมศาลาของพวกเขา  เริ่มตั้งแต่การรื้อถอนศาลา  ตลอดจนถึงการร่วมขัดล้างกระเบื้อง หลังคาทีละแผ่น เป็นต้น วัด ชุมชน และสถาปนิก (ภาคที่สอง)

ครูวัน :                 ดีใจที่เห็นคนมาช่วยกัน   ไม่คิดว่าจะทำได้หนาดนี้  … ช่วงแรกก็หนักใจเพราะไม่หอน (เคย)ทำ   แต่ก็ภูมิใจที่ได้ลงมือทำเอง …  ถ้ามีงานซ่อมคราวหน้าอีก น้องไม่มา พี่ก็จะมา

พี่ยาน :                ภูมิใจที่หลากลับมาสวยงามเหมือนเดิม งานซ่อมใช้เบี้ยไม่มาก ได้อาคารที่สวยกลับมาใช้ได้อีก

น้าลอน :              ประทับใจที่ได้มาช่วยกันทำ หลาน ๆ ยังบอกว่า “ หลานี้ น้าเป็นคนทำ ”

เจ้าอาวาส :         ยังเหลือหลาอีกหลัง ….ช่วยกันทำต่อดีม่าย ???

ชาวบ้าน :             ทั้งหมดไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่มองหน้ากันแล้วก็อมยิ้ม

 

การรักษาความเป็นของแท้ดั้งเดิมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม

การรักษาความเป็นของแท้ดั้งเดิม  (Authenticity)   หรือการรักษาในเชิงคุณค่าเป็นหัวใจสำคัญในการอนุรักษ์    ซึ่งการรักษาความดั้งเดิมนี้จำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องรักษาทั้งในเชิงรูปธรรมและนามธรรม  หรือความหมายเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Meaning)  ในการอนุรักษ์ศาลาเรียนวัดคูเต่าได้ใช้กระบวน การมีส่วนร่วมเป็นเงื่อนไขสำคัญในการรักษาความดั้งเดิมและคุณค่าดังกล่าว กล่าวคือ การรักษาความเป็นของแท้ดั้งเดิมในเชิงนามธรรม หรือความหมายเชิง สัญลักษณ์นั้น เริ่มขึ้นตั้งแต่การฟื้นฟูพิธีกรรมทางด้านจิตวิญญาณก่อนที่จะทำการบูรณะศาลา  เนื่องจากเป็นพิธีกรรมดั้งเดิมเพื่อเป็นการบอกกล่าว  และขอ ขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่วัดเคยทำมาแล้วในอดีต   นอกจากนี้ในอดีตที่อาคารต่างๆ   ภายในวัดก็ถูกร่วมกันสร้างโดยพระและชาวชุมชน   ดังนั้นการที่ชุมชนมี ส่วนร่วนกันรื้อศาลาตลอดจนร่วมกันบูรณะศาลาในทุกขั้นตอน  จึงเป็นกระบวนการที่สร้างความทรงจำร่วม (Collective Memory)   ให้แก่ชาวชุมชนเป็นการ ส่งต่อคุณค่าและปลูกฝังความทรงจำสู่คนรุ่นใหม่บนรากฐานวัฒนธรรมเดิม

ในส่วนของการรักษาความเป็นของแท้ดั้งเดิมในเชิงรูปธรรมเกิดขึ้นจากการที่ชาวชุมชน ร่วมกันขัดล้างกระเบื้องหลังคาเก่าที่ละแผ่นเพื่อนำกลับไป ใช้ใหม่  โดยใช้กระเบื้องใหม่เพียง ๑๐ เปอร์เซ็นต์    ส่วนกลอนลูกสักที่ใชเพื่อรับแปหลังคาก็ยังคงเทคนิคการก่อสร้างแบบเดิมไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ถึง ภูมิปัญญาเชิงช่างท้องถิ่น นอกจากในส่วนโครงสร้างหลักก็ยังคงรักษาชิ้นส่วนชิ้นเสริมเพียง บางจุดเพื่อความแข็งแรง  มีเพียงตอม่อเท่านั้นที่เป็นของใหม่เพื่อ ยกระดับอาคารให้เท่ากับความสูงในอดีต      จึงทำให้ศาลาหลังนี้เมื่อได้รับการบูรณะแล้วยังคงเห็นถึงความคล่ำของอาคารที่ผ่านกาลเวลา   (Patina of Age)  เนื่องจากใช้ชิ้นส่วนและองค์ประกอบเดิมเกือบทั้งหมดแต่เสริมความแข็งแรงเพื่อรองรับ ประโยชน์ใช้สอยในปัจจุบันและอนาคต

โครงการนี้ได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น  ปี  ๒๕๕๔  จากสมาคมสถาปนิกสยามฯ  และ  Honorable Mention : 2011 UNESCO Asia- Pacific Heritage Award  แต่สิ่งที่น่าภูมิใจคือ หลังจากจบโครงการชาวชุมชนสามารถบูรณะและปรับปรุงโบราณสถานอื่นๆ  ภายในวัดได้ด้วยตนเอง  โดยไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากภายนอก

 

 

Location: Songkhla, Thailand
Year 2010
Client/Owner: Ajarn Manot Katabunyo (The present abbot of Wat Kutao)
Status: Completed
Building Area:
Project Value:
Collaborators: